รายวิชา
นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
เรียน อาจารย์ภัทรดร จั้นวันดี
ดิฉัน นางสาวลลิตา เลิศฤทธิ์เรืองสิน
รหัส 58723713209 หมู่เรียนที่ 2
รหัส 58723713209 หมู่เรียนที่ 2
สรุปเนื้อหารายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2558
กลุ่มของดิฉันได้รับมอบหมายงานในหัวข้อ “การวัดผลและประเมินผล” มีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
การวัดผลและประเมินผล
การวัดผลแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.
วัดทางตรง วัดคุณลักษณะที่ต้องการโดยตรง เช่น
ส่วนสูง น้ำหนัก ฯลฯ มาตราวัดจะอยู่ในระดับ Ratio Scale
2.
วัดทางอ้อม วัดคุณลักษณะที่ต้องการโดยตรงไม่ได้
ต้องวัดโดยผ่านกระบวนการทางสมอง เช่น วัดความรู้ วัดเจตคติ วัดบุคลิกภาพ ฯลฯ
มาตราวัดจะอยู่ในระดับ Interval
Scale การวัดทางอ้อมแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ
2.1
ด้านสติปัญญา (Cognitive Domain) เช่น
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วัดเชาวน์ปัญญา วัดความถนัดทางการเรียน
วัดความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ
2.2
ด้านความรู้สึก (Affective Domain) เช่น
วัดความสนใจ วัดเจตคติ วัดบุคลิกภาพ วัดความวิตกกังวล วัดจริยธรรม ฯลฯ
2.3
ด้านทักษะกลไก (Psychomotor Domain) เช่น
การเคลื่อนไหว การปฏิบัติโดยใช้เครื่องมือ ฯลฯ
การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การนำเอาข้อมูลต่าง ๆ
ที่ได้จากการวัดรวมกับการใช้วิจารณญาณของผู้ประเมินมาใช้ในการตัดสินใจ
โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ เพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
เนื้อหมูชิ้นนี้หนัก 0.5 กิโลกรัมเป็นเนื้อหมูชิ้นที่เบาที่สุดในร้าน
(เปรียบเทียบกันภายในกลุ่ม) เด็กชายแดงได้คะแนนวิชาภาษาไทย 42 คะแนนซึ่งไม่ถึง 50 คะแนนถือว่าสอบไม่ผ่าน
(ใช้เกณฑ์ที่ครูสร้างขึ้น) เป็นต้น
การประเมินผลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การประเมินแบบอิงกลุ่มและการประเมินแบบอิงเกณฑ์ มีดังนี้
1.
การประเมินแบบอิงกลุ่ม
เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับบุคคลอื่น ๆ
ที่ได้ทำแบบทดสอบเดียวกันหรือได้ทำงานอย่างเดียวกัน
นั่นคือเป็นการใช้เพื่อจำแนกหรือจัดลำดับบุคคลในกลุ่ม
การประเมินแบบนี้มักใช้กับการ การประเมินเพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ
หรือการสอบชิงทุนต่าง ๆ
2.
การประเมินแบบอิงเกณฑ์
เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเกณฑ์หรือจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้
เช่น
การประเมินระหว่างการเรียนการสอนว่าผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ได้กำหนดไว้หรือไม่
ข้อแตกต่างระหว่างการประเมินผลแบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์
การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม
1.
เป็นการเปรียบเทียบคะแนนที่ได้กับคะแนนของคนอื่น ๆ
2.
นิยมใช้ในการสอบแข่งขัน
3.
คะแนนจะถูกนำเสนอในรูปของร้อยละหรือคะแนนมาตรฐาน
4.
ใช้แบบทดสอบเดียวกันทำหรับผู้เรียนทั้งกลุ่มหรืออาจใช้แบบทดสอบคู่ขนาน
เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกันได้
5.
แบบทดสอบมีความยากง่ายพอเหมาะ มีอำนาจจำแนกสูง
6.
เน้นความเที่ยงตรงทุกชนิด
การประเมินแบบอิงเกณฑ์
1.
เป็นการเปรียบเทียบคะแนนที่ได้กับเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้
2.
สำหรับการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนหรือเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
3.
คะแนนจะถูกนำเสนอในรูปของผ่าน-ไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
4.
ไม่ได้เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ
จึงไม่จำเป็นต้องใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกันกับผู้เรียนทั้งชั้น
5.
ไม่เน้นความยากง่าย แต่อำนาจจำแนกควรมีพอเหมาะ
6.
เน้นความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
บลูม (Bloom) และคณะ ได้แบ่งพฤติกรรมที่จะวัดออกเป็น 3 ลักษณะ
1. วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับ ความรู้ ความคิด (วัดด้านสมอง)
2. วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด (วัดด้านจิตใจ)
3. วัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ ของร่างกาย (วัดด้านการปฏิบัติ)
1. วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับ ความรู้ ความคิด (วัดด้านสมอง)
2. วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด (วัดด้านจิตใจ)
3. วัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ ของร่างกาย (วัดด้านการปฏิบัติ)
จุดมุ่งหมายของการวัดผลการศึกษา
1. วัดผลเพื่อและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อดูว่านักเรียนบกพร่องหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดอย่างไร แล้วครูพยายามอบรมสั่งสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเจริญงอกงามตามศักยภาพของนักเรียน
2. วัดผลเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การวัดผลเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มีปัญหาว่า ยังไม่เกิดการเรียนรู้ตรงจุดใด เพื่อหาทางช่วยเหลือ
3. วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือจัดตำแหน่ง หมายถึง การวัดผลเพื่อจัดอันดับความสามารถของนักเรียนในกลุ่มเดียวกันว่าใครเก่งกว่า ใครควรได้อันที่ 1 2 3
4. วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพื่อทราบพัฒนาการของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อเปรียบเทียบความ
สามารถของนักเรียนเอง เช่น การทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนแล้วนำผลมาเปรียบเทียบกัน
5. วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้ไปคาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต
6. วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้มาตัดสิน หรือสรุปคุณภาพของการจัดการศึกษาว่า
มีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
1. วัดผลเพื่อและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อดูว่านักเรียนบกพร่องหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดอย่างไร แล้วครูพยายามอบรมสั่งสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเจริญงอกงามตามศักยภาพของนักเรียน
2. วัดผลเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การวัดผลเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มีปัญหาว่า ยังไม่เกิดการเรียนรู้ตรงจุดใด เพื่อหาทางช่วยเหลือ
3. วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือจัดตำแหน่ง หมายถึง การวัดผลเพื่อจัดอันดับความสามารถของนักเรียนในกลุ่มเดียวกันว่าใครเก่งกว่า ใครควรได้อันที่ 1 2 3
4. วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพื่อทราบพัฒนาการของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อเปรียบเทียบความ
สามารถของนักเรียนเอง เช่น การทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนแล้วนำผลมาเปรียบเทียบกัน
5. วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้ไปคาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต
6. วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้มาตัดสิน หรือสรุปคุณภาพของการจัดการศึกษาว่า
มีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
มาตราการวัด
1. มาตรานามบัญญัติ เป็นมาตรการวัดที่ใช้กับข้อมูลเป็นเพียงการเรียกชื่อ หรือจำแนกชนิดหรือสัญลักษณ์กับ
สิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถบอกปริมาณมากน้อยได้ แสดงให้เห็นเพียงความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ เช่น
การจำแนกคนเป็นเพศหญิง-ชาย หมายเลขโทรศัพท์ ทะเบียนรถ
2. มาตราเรียงอันดับ สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้ หรือเป็นการจัดอันดับข้อมูลได้ว่ามาก - น้อย
สูง-ต่ำดี-ชั่ว
3. มาตราอันตรภาค สามารถบอกความห่างระหว่างสองตำแหน่งได้ เช่น การวัดอุณหภูมิ หรือเซลเซียส
4. มาตราสัดส่วน เป็นมาตราการวัดที่มีลักษณะสมบูรณ์ทุกอย่าง มีศูนย์แท้ ซึ่งแปลว่าไม่มีอะไร
หรือเริ่มต้นจาก 0เช่น ความสูง 0 นิ้ว ก็แปลว่าไม่มีความสูง หรือน้ำหนัก 0 กิโลกรัม ก็เท่ากับไม่มีน้ำหนัก
1. มาตรานามบัญญัติ เป็นมาตรการวัดที่ใช้กับข้อมูลเป็นเพียงการเรียกชื่อ หรือจำแนกชนิดหรือสัญลักษณ์กับ
สิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถบอกปริมาณมากน้อยได้ แสดงให้เห็นเพียงความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ เช่น
การจำแนกคนเป็นเพศหญิง-ชาย หมายเลขโทรศัพท์ ทะเบียนรถ
2. มาตราเรียงอันดับ สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้ หรือเป็นการจัดอันดับข้อมูลได้ว่ามาก - น้อย
สูง-ต่ำดี-ชั่ว
3. มาตราอันตรภาค สามารถบอกความห่างระหว่างสองตำแหน่งได้ เช่น การวัดอุณหภูมิ หรือเซลเซียส
4. มาตราสัดส่วน เป็นมาตราการวัดที่มีลักษณะสมบูรณ์ทุกอย่าง มีศูนย์แท้ ซึ่งแปลว่าไม่มีอะไร
หรือเริ่มต้นจาก 0เช่น ความสูง 0 นิ้ว ก็แปลว่าไม่มีความสูง หรือน้ำหนัก 0 กิโลกรัม ก็เท่ากับไม่มีน้ำหนัก
หลักการในการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา
การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา เป็นกระบวนการที่มีระเบียบแบบแผน เพื่อให้ได้มา
ซึ่งตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงปริมาณ หรือคุณภาพของคุณลักษณะที่วัดได้ เพื่อจะได้นำผลของการ
วัดมาเป็นข้อมูลในการประเมินผลได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นการวัดผลทางการศึกษาจะมีประสิทธิภาพ ควร
ปฏิบัติดังนี้
ซึ่งตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงปริมาณ หรือคุณภาพของคุณลักษณะที่วัดได้ เพื่อจะได้นำผลของการ
วัดมาเป็นข้อมูลในการประเมินผลได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นการวัดผลทางการศึกษาจะมีประสิทธิภาพ ควร
ปฏิบัติดังนี้
1.วัดให้ตรงกับวัตถุประสงค์
ในการวัดผลแต่ละครั้งถ้าผลของการวัดไม่ตรงกับคุณลักษณะ
ที่เราต้องการจะวัดแล้ว ผลของการวัดจะไม่มีความหมาย และเกิดความผิดพลาด ในการนำไปใช้ต่อไป
ดังนั้นการวัดผลควรมีการกำหนดจุดมุ่งหมายของการวัด ต้องรู้ว่าจะนำผลการสอบไปเพื่อทำอะไรบ้างเพื่อ
ใช้เครื่องมือและกำหนดวิธีการให้เหมาะสม ถ้าจุดมุ่งหมายทางการศึกษาต่างกัน แบบทดสอบที่ใช้ ก็
ควรจะแตกต่างกัน วิธีการใช้แบบทดสอบก็ย่อมแตกต่างกัน ความผิดพลาดที่อาจทำให้การวัดไม่ตรง
กับวัตถุประสงค์ คือ
ที่เราต้องการจะวัดแล้ว ผลของการวัดจะไม่มีความหมาย และเกิดความผิดพลาด ในการนำไปใช้ต่อไป
ดังนั้นการวัดผลควรมีการกำหนดจุดมุ่งหมายของการวัด ต้องรู้ว่าจะนำผลการสอบไปเพื่อทำอะไรบ้างเพื่อ
ใช้เครื่องมือและกำหนดวิธีการให้เหมาะสม ถ้าจุดมุ่งหมายทางการศึกษาต่างกัน แบบทดสอบที่ใช้ ก็
ควรจะแตกต่างกัน วิธีการใช้แบบทดสอบก็ย่อมแตกต่างกัน ความผิดพลาดที่อาจทำให้การวัดไม่ตรง
กับวัตถุประสงค์ คือ
1) ไม่เข้าใจในคุณลักษณะที่ต้องวัด คือ
ผู้วัดมีความเข้าใจในสิ่งที่จะวัดไม่ชัดเจน หรือเข้าใจ
เกี่ยวกับสิ่งที่จะวัดผิด ทำให้ความหมายหรือคำจำกัดความของสิ่งที่จะวัดนั้น
ไม่ตรงตามต้องการ อันเป็น ผลทำให้การวัดคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ได้
2) ใช้เครื่องมือไม่สอดคล้องกับตัวแปรที่จะวัด การเลือกใช้เครื่องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ
นักวัดผลอย่างมาก เพราะการใช้เครื่องมือถูกต้องเหมาะสมย่อมทำให้ผลการวัดน่าเชื่อถือและสอดคล้อง
กับความต้องการ ทางตรงกันข้ามถ้าใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง ผลการวัดอาจทำให้ขาดความเชื่อถือได้
3) วัดได้ไม่ครบถ้วน การวัดที่ดีต้องวัดคุณลักษณะได้ครอบคลุมครบถ้วนตามลักษณะตัว
แปรนั้นๆ การวัดเพียงบางส่วนบางองค์ประกอบ ย่อมทำให้ผลการวัดนั้นไม่แน่นอนและไม่สามารถสรุป
ผลได้อย่างมั่นใจ
4) เลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เหมาะสม บางครั้งผู้วัดมีความรู้ในสิ่งที่จะวัดเป็นอย่างดี รู้วิธีการ
วัดที่ถูกต้องและมีเครื่องมือที่ดีความเที่ยงตรง สามารถวัดได้ครอบคลุมพฤติกรรมหรือคุณลักษณะนั้น ๆ
แต่กลับไปวัดกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องหรือกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีคุณลักษณะนั้น ผลการวัดก็ย่อมไม่ถูกต้อง
ตรงตามวัตถุประสงค์เช่นกัน
ไม่ตรงตามต้องการ อันเป็น ผลทำให้การวัดคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ได้
2) ใช้เครื่องมือไม่สอดคล้องกับตัวแปรที่จะวัด การเลือกใช้เครื่องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ
นักวัดผลอย่างมาก เพราะการใช้เครื่องมือถูกต้องเหมาะสมย่อมทำให้ผลการวัดน่าเชื่อถือและสอดคล้อง
กับความต้องการ ทางตรงกันข้ามถ้าใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง ผลการวัดอาจทำให้ขาดความเชื่อถือได้
3) วัดได้ไม่ครบถ้วน การวัดที่ดีต้องวัดคุณลักษณะได้ครอบคลุมครบถ้วนตามลักษณะตัว
แปรนั้นๆ การวัดเพียงบางส่วนบางองค์ประกอบ ย่อมทำให้ผลการวัดนั้นไม่แน่นอนและไม่สามารถสรุป
ผลได้อย่างมั่นใจ
4) เลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เหมาะสม บางครั้งผู้วัดมีความรู้ในสิ่งที่จะวัดเป็นอย่างดี รู้วิธีการ
วัดที่ถูกต้องและมีเครื่องมือที่ดีความเที่ยงตรง สามารถวัดได้ครอบคลุมพฤติกรรมหรือคุณลักษณะนั้น ๆ
แต่กลับไปวัดกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องหรือกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีคุณลักษณะนั้น ผลการวัดก็ย่อมไม่ถูกต้อง
ตรงตามวัตถุประสงค์เช่นกัน
2. ใช้เครื่องดีมีคุณภาพ ผลของการวัดจะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่ใช้ ถ้าหากเครื่องที่ใช้วัดมีคุณภาพไม่ดีพอแล้ว การวัดนั้นก็ให้ผลที่ไม่เกิดคุณค่าใดๆ เช่น การสอบ
ถ้าใช้ข้อสอบที่มีคุณภาพไม่ดีไปทดสอบผู้เรียน ผลหรือคะแนนที่ได้ก็ไม่มีความหมาย บอกอะไรเราไม่
ได้ ยิ่งกว่านั้นถ้านำผลจากการวัดไปใช้ในการตัดสินใจ ก็อาจทำให้การตัดสินใจนั้นผิดพลาด อาจเกิด
ผลเสียเป็นผลกระทบจากการประเมินนั้นได้
ถ้าใช้ข้อสอบที่มีคุณภาพไม่ดีไปทดสอบผู้เรียน ผลหรือคะแนนที่ได้ก็ไม่มีความหมาย บอกอะไรเราไม่
ได้ ยิ่งกว่านั้นถ้านำผลจากการวัดไปใช้ในการตัดสินใจ ก็อาจทำให้การตัดสินใจนั้นผิดพลาด อาจเกิด
ผลเสียเป็นผลกระทบจากการประเมินนั้นได้
3. มีความยุติธรรม
การวัดผลการศึกษาซึ่งจัดได้ว่าเป็นการการวัดตัวแปรทางด้านจิตวิทยา
หรือทางสังคมศาสตร์นั้น จะได้ผลดีต้องมีความยุติธรรมในการวัด สิ่งที่ถูกวัดจะต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์
ที่เป็นไปเหมือน ๆ กัน ไม่มีการลำเอียง
หรือทางสังคมศาสตร์นั้น จะได้ผลดีต้องมีความยุติธรรมในการวัด สิ่งที่ถูกวัดจะต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์
ที่เป็นไปเหมือน ๆ กัน ไม่มีการลำเอียง
4. แปลผลได้ถูกต้อง
การวัดผลทุกครั้งผลที่ได้ออกมาย่อมเป็นตัวแทนของจำนวนหรือระดับ
ของคุณลักษณะที่ต้องการจะวัดนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผลของการวัดมักออกมาในรูปของคะแนนหรืออันดับ
ที่ แล้วจึงนำผลนั้นไปอภิปรายหรือเปรียบเทียบกัน จึงจะทำให้ผลการวัดนั้นมีความหมาย และเกิด
ประโยชน์ ซึ่งการแปลผลจะได้ผลดีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ในการแปรผลว่าสมเหตุสมผล
มากน้อยเพียงไร โดยนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว หรือนำไปเปรียบเทียบกับ
คนอื่นหรือผลงานของคนอื่น ๆ ที่วัด คุณลักษณะเดียวกันโดย เครื่องมือเดียวกัน ซึ่งการเปรียบเทียบ
เหล่านี้จะมีความหมายเพียงไรข้นอยู่กับหน่วยของการวัดเป็นสำคัญ
ของคุณลักษณะที่ต้องการจะวัดนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผลของการวัดมักออกมาในรูปของคะแนนหรืออันดับ
ที่ แล้วจึงนำผลนั้นไปอภิปรายหรือเปรียบเทียบกัน จึงจะทำให้ผลการวัดนั้นมีความหมาย และเกิด
ประโยชน์ ซึ่งการแปลผลจะได้ผลดีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ในการแปรผลว่าสมเหตุสมผล
มากน้อยเพียงไร โดยนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว หรือนำไปเปรียบเทียบกับ
คนอื่นหรือผลงานของคนอื่น ๆ ที่วัด คุณลักษณะเดียวกันโดย เครื่องมือเดียวกัน ซึ่งการเปรียบเทียบ
เหล่านี้จะมีความหมายเพียงไรข้นอยู่กับหน่วยของการวัดเป็นสำคัญ
5. ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า
การวัดที่นอกจากจะเป็นการตรวจสอบว่าสิ่งที่วัดมีคุณภาพ เช่นไร
แล้ว ยังมุ่งหวังที่จะนำผลที่ได้จากการวัดไปเป็นเเนวทางในการปฎิบัติและปรับปรุงกิจกรรมต่าง ๆ ทาง
การศึกษาให้ดีขึ้นด้วย ในการวัดผลการศึกษาควรมีจุดมุ่งหมายของการวัดหลาย ๆ ด้าน และพยายามใช้
ผลการวัดนั้นให้สนองจุดมุ่งหมายที่วัดเหล่านั้นให้มากที่สุด เช่น ผลจากการสอบของนักเรียน อาจเป็น
เครื่องชี้แนะการปรับปรุงการเรียนการสอนของผู้สอน นำผลไปใช้ในการแนะแนวการเรียนสำหรับผู้เรียน
แต่ละคน และใช้ประกอบการปรับปรุงระบบการบริหารภายในโรงเรียน เป็นต้น ดังนั้นในการสอบหรือ
การทดสอบนักเรียน เพื่อประเมินผลว่านักเรียนได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามที่กำหนดไว้ใน
หลักสูตรมากน้อยเพียงใด มีจุดเด่นจุดด้อยประการใดควรต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง ครูจึงต้องมี
ทักษะและความรู้ความสามารถ ในเรื่องต่อไปนี้
แล้ว ยังมุ่งหวังที่จะนำผลที่ได้จากการวัดไปเป็นเเนวทางในการปฎิบัติและปรับปรุงกิจกรรมต่าง ๆ ทาง
การศึกษาให้ดีขึ้นด้วย ในการวัดผลการศึกษาควรมีจุดมุ่งหมายของการวัดหลาย ๆ ด้าน และพยายามใช้
ผลการวัดนั้นให้สนองจุดมุ่งหมายที่วัดเหล่านั้นให้มากที่สุด เช่น ผลจากการสอบของนักเรียน อาจเป็น
เครื่องชี้แนะการปรับปรุงการเรียนการสอนของผู้สอน นำผลไปใช้ในการแนะแนวการเรียนสำหรับผู้เรียน
แต่ละคน และใช้ประกอบการปรับปรุงระบบการบริหารภายในโรงเรียน เป็นต้น ดังนั้นในการสอบหรือ
การทดสอบนักเรียน เพื่อประเมินผลว่านักเรียนได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามที่กำหนดไว้ใน
หลักสูตรมากน้อยเพียงใด มีจุดเด่นจุดด้อยประการใดควรต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง ครูจึงต้องมี
ทักษะและความรู้ความสามารถ ในเรื่องต่อไปนี้
1. มีความรู้-ความเข้าใจในเนื้อหาที่จะวัดและประเมินผลเป็นอย่างดี
ในฐานะครูผู้สอนรายวิชาต่างๆ ปกติก็ต้องมีความรู้-ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาที่สอนและพฤติกรรมที่ประสงค์จะให้เกิดขึ้นในตัวนักเรียนอยู่แล้ว
แต่ในฐานะนักวัดผลและประเมินผล ซึ่งต้องทำหน้าที่สร้างเครื่องมือไปตรวจวัดสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเนื้อหานั้น ยิ่งจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในเนื้อหามากยิ่งขึ้น
กล่าวคือไม่เพียงแต่มีความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงและหลักเกณฑ์ของเนื้อหาเท่านั้น
แต่ยังต้องรอบรู้ในเนื้อหาสาระที่นักเรียนมักเกิดความเข้าใจผิดอยู่เสมอ
รอบรู้ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ทั้งนี้ก็เพื่อที่ใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างเครื่องมือเช่น แบบทดสอบให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพดีต่อไป
2. มีความรู้-ความเข้าใจในตัวนักเรียนที่ได้รับการวัดและประเมินผลเป็นอย่างดี
ผู้ที่ทำหน้าที่ในการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา จะต้องมีความรู้ความเข้าใจ และรู้จักนักเรียนที่จะได้รับการวัดผลและประเมินผลเพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการสร้างเครื่องมือให้เหมาะสมสอดคล้องกับธรรมชาติและระดับความสามารถของผู้ถูกวัด
การรู้จักและมีความรู้เกี่ยวกับตัวนักเรียนเป็นรายบุคคลและในภาพรวมทั้งกลุ่ม ทำให้ครูทราบถึงศักยภาพ
สมรรถภาพ และความสามารถของผู้ถูกวัดได้เป็นอย่างดี เครื่องมือที่สร้างเพื่อใช้ทดสอบถ้าได้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของผู้ที่จะถูกทดสอบแล้ว
โอกาสที่จะสร้างเครื่องมือให้มีคุณภาพเหมาะสมกับผู้ถูกทดสอบก็สูงขึ้น
3. มีทักษะในการใช้ภาษา
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการศึกษาทั้งหมดนั้น จำเป็นต้องใช้ภาษาเป็นสื่อในการทดสอบ โดยใช้ภาษาพูดสำหรับการสัมภาษณ์ และใช้ภาษาเขียนในเครื่องมือประเภท แบบทดสอบ แบบสอบถามแบบสำรวจรายการ (Checklist) แบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ทักษะในการใช้ภาษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักวัดผลประเมินผลการศึกษา หากการใช้ภาษาในเครื่องมือไม่สามารถสื่อสารให้ผู้ถูกวัดเข้าใจได้ตามที่ตัองการเท่ากับสิ่งเร้า(Stimuli) ขาดประสิทธิภาพในการไปกระตุ้นให้ผู้ถูกวัดตอบสนอง (Response) หรือแม้จะตอบสนองโดยแสดงพฤติกรรมย้อนกลับมาแต่ก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความเข้าใจผิดในถ้อยคำของคำถาม นักวัดผลและประเมินผลที่ดีจึงต้องมีทักษะในการใช้ภาษา ทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียนให้ ผู้ถูกวัดเข้าใจตรงกับเจตนารมณ์ของตน ทั้งนี้ยังหมายรวมถึงการใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย ระดับชั้นวุฒิภาวะ และลักษณะเฉพาะของผู้ถูกวัดอีกด้วย
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการศึกษาทั้งหมดนั้น จำเป็นต้องใช้ภาษาเป็นสื่อในการทดสอบ โดยใช้ภาษาพูดสำหรับการสัมภาษณ์ และใช้ภาษาเขียนในเครื่องมือประเภท แบบทดสอบ แบบสอบถามแบบสำรวจรายการ (Checklist) แบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ทักษะในการใช้ภาษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักวัดผลประเมินผลการศึกษา หากการใช้ภาษาในเครื่องมือไม่สามารถสื่อสารให้ผู้ถูกวัดเข้าใจได้ตามที่ตัองการเท่ากับสิ่งเร้า(Stimuli) ขาดประสิทธิภาพในการไปกระตุ้นให้ผู้ถูกวัดตอบสนอง (Response) หรือแม้จะตอบสนองโดยแสดงพฤติกรรมย้อนกลับมาแต่ก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความเข้าใจผิดในถ้อยคำของคำถาม นักวัดผลและประเมินผลที่ดีจึงต้องมีทักษะในการใช้ภาษา ทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียนให้ ผู้ถูกวัดเข้าใจตรงกับเจตนารมณ์ของตน ทั้งนี้ยังหมายรวมถึงการใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย ระดับชั้นวุฒิภาวะ และลักษณะเฉพาะของผู้ถูกวัดอีกด้วย
4. มีความรู้และความคุ้นเคยในเครื่องมือวัดและประเมินผล
ในการวัดและประเมินผลการศึกษาเครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดหรือทดสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับนำไปประมวลเพี่อการประเมินผลนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือที่นักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์ได้ใช้อยู่ ลักษณะและประสิทธิภาพของเครื่องมือแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกัน ข้อจำกัด มีเงื่อนไข และวิธีการใช้ต่างกันออกไป นักวัดผลและประเมินผล จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ในเครื่องมือแต่ละชนิดอย่างถ่องแท้ เพื่อสามารถเลือกเครื่องมือมาใช้วัดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมนอกจากนี้การได้เรียนรู้จนคุ้นเคยกับเครื่องมือวัดผลชนิดต่าง ๆ เป็นอย่างดี จะช่วยให้นักวัดผลและประเมินผลสามารถสร้างเครื่องมือชนิดนั้นๆ ขึ้นมาใช้เองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้วัดผลทางการศึกษาจำเป็นต้องสร้างใหม่ให้เหมาะแต่ละครั้งมีการปรับปรุงแก้ไขตลอดเวลา ส่วนมากมีลักษณะเป็นข้อเขียน (Paper and Pencil) มิใช่เครื่องมือสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้ได้ตลอดไปนักวัดผลจึงจำเป็นต้องสร้างขึ้นมาใช้เองให้ตรงกับจุดมุ่งหมายในแต่ละครั้งของการวัด
ในการวัดและประเมินผลการศึกษาเครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดหรือทดสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับนำไปประมวลเพี่อการประเมินผลนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือที่นักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์ได้ใช้อยู่ ลักษณะและประสิทธิภาพของเครื่องมือแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกัน ข้อจำกัด มีเงื่อนไข และวิธีการใช้ต่างกันออกไป นักวัดผลและประเมินผล จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ในเครื่องมือแต่ละชนิดอย่างถ่องแท้ เพื่อสามารถเลือกเครื่องมือมาใช้วัดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมนอกจากนี้การได้เรียนรู้จนคุ้นเคยกับเครื่องมือวัดผลชนิดต่าง ๆ เป็นอย่างดี จะช่วยให้นักวัดผลและประเมินผลสามารถสร้างเครื่องมือชนิดนั้นๆ ขึ้นมาใช้เองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้วัดผลทางการศึกษาจำเป็นต้องสร้างใหม่ให้เหมาะแต่ละครั้งมีการปรับปรุงแก้ไขตลอดเวลา ส่วนมากมีลักษณะเป็นข้อเขียน (Paper and Pencil) มิใช่เครื่องมือสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้ได้ตลอดไปนักวัดผลจึงจำเป็นต้องสร้างขึ้นมาใช้เองให้ตรงกับจุดมุ่งหมายในแต่ละครั้งของการวัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น