วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สรุปเนื้อหาของวันที่ 29 สิงหาคม 2558

รายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา



เรียน  อาจารย์ ภัทรดร  จั้นวันดี

ดิฉัน นางสาว ลลิตา  เลิศฤทธิ์เรืองสิน

รหัส  58723713209  หมู่เรียนที่ 2



สรุปเนื้อหารายวิชา  นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
ประจำวันที่ 29 สิงหาคม 2558

The ASSURE Model  


          ในการวางแผนการใช้สื่อการสอน ผู้สอนควรจะมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การใช้สื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้ การวางแผนอย่างเป็นระบบนี้ เราสามารถใช้รูปแบบจำลองที่เรียกว่า  " The ASSURE Model " ของไฮนิคและคณะ (Heinich and others 1999) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้


การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน ( Analyze Leaner Characteristics )

       การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน ทำให้ผู้สอนได้ทราบลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะของผู้เรียนเพื่อที่ผู้สอนจะได้เลือกใช้สื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน
·   ลักษณะทั่วไป ได้แก่ อายุ ระดับความรู้ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ของผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งลักษณะทั่วไปจะช่วยให้ผู้สอนสามารถเลือกระดับของบทเรียนและตัวอย่างของเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้
         ·   ลักษณะเฉพา ของผู้เรียนแต่ละคน มีส่วนสำคัญโดยตรงกับเนื้อหาบทเรียนตลอดจนสื่อการสอนและวิธีการที่จะนำมาใช้ในการสอน

การกำหนดวัตถุประสงค์ ( State Objectives )    
                     
             ในการกำหนดวัตถุประสงค์ควรเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อให้สามารถเลือกใช้วิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสม การกำหนดวัตถุประสงค์เป็น "วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม" แบ่งออกเป็น
   
             1. พุทธิพิสัย  เป็นวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เพื่อวัดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ สติปัญญา และการพัฒนา
             2.
 จิตพิสัย   เป็นวัตถุประสงค์ทางด้านความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก ค่านิยมและการเสริมสร้างทางปัญญา
             3.
 ทักษะพิสัย   เป็นวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการกระทำ การแสดงออกหรือการปฏิบัติ

การเลือก ดัดแปลง หรือออกแบบสื่อ ( Select, Modify, of Design Materials )
การที่จะมีสื่อที่เหมาะสมในการเรียนการสอน สามารถทำได้ 3 วิธี คือ

             1.
 เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
                   1) ลักษณะผู้เรียน                                                 2) วัตถุประสงค์การเรียนการสอน
                   3) เทคนิคหรือวิธีการเรียนการสอน                 4) สภาพการณ์และข้อจำกัดในการใช้สื่อแต่ละชนิด
           
  2. ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
             3. การออกแบบสื่อใหม่ 
หลังจากที่เราออกแบบสื่อแล้วแล้วนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน ก็ควรมีการวัดผลของสื่อ เป็นการวัดประสิทธิภาพของสื่อ การวัดผลสื่อนี้เพื่อผลในการใช้ดัดแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต เราสามารถที่จะนำเอาผลการอภิปรายในชั้นเรียน การสัมภาษณ์ และการสังเกตผู้เรียนมาใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสื่อได้
การใช้สื่อ ( Utilize Materials )  
                1. ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อเหล่านั้นก่อนเป็นการเตรียมตัว : ต้องมีการตรวจสอบเนื้อหาว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และทดลองใช้ดูว่ามีปัญหาหรือไม่ ถ้ามีจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทัน
               2.
 เตรียมสภาพแวดล้อม / จัดเตรียมสถานที่   เพื่อความสะดวกเรียบร้อยก่อนการสอน และทดลองอุปกรณ์ที่จะใช้ก่อนว่าใช้ได้ดีหรือไม่
               3.
 เตรียมตัวผู้เรียน โดยการใช้สื่อนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการแนะนำก่อนล่วงหน้าและเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้เรียน   
               4. การนำเสนอ / ควบคุมชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจในสื่อที่นำเสนอนั้น
         การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน ( Require Learner Response )   
               การตอบสนองของผู้เรียนจะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับลักษณะของสื่อที่นำมาใช้ ว่าเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากอย่างไร นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถมีการตอบสนองโดยเปิดเผย ( overt respone ) โดยการพูดหรือเขียน และการตอบสนองภายในตัวผู้เรียน ( covert response ) โดยการท่องจำหรือคิดในใจ และเมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองผู้สอนควรให้การเสริมแรงทันที เพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือไม่ การเรียนการสอนโดยการให้ทำแบบฝึกหัด การตอบคำถาม การอภิปราย หรือการใช้บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการตอบสนองและได้รับการเสริมแรงระหว่างการเรียนได้เป็นอย่างดี
        การประเมิน ( Evaluation )
               การประเมินสามารถกระทำได้ใน 3 ลักษณะ คือ
           1. การประเมินกระบวนการสอน   เพื่อประเมินว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่
          2.
 การประเมินความสำเร็จของผู้เรียน   ขึ้นกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่ามีเกณฑ์เท่าใด การวัดผลอาจทำได้ด้วยการทดสอบ การสอบปากเปล่า หรือดูจากผลงานของผู้เรียน
         3. การประเมินสื่อและวิธีการสอน  โดยการให้ผู้เรียนมีการอภิปรายและวิจารณ์การใช้สื่อและเทคนิควิธีการสอนว่าเหมาะสมมากน้อยเพียงใด

 Dick; & Carey  Model
ไดเสนอรูปแบบระบบการออกแบบการ สอน สรุปรวมได 3 องค์ประกอบ คือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอน
2. การพัฒนาการสอน
3. การประเมินการเรียนการสอน
จาก 3 องค์ประกอบ สามารถจัดแบ่งกิจกรรมการออกแบบระบบการสอน ออกเป็น 10 ขั้นตอน คือ
 1. กำหนดจุดมุ่งหมายการสอน (Identify Instructional Goals) ซึ่งต้องพัฒนาให้สอดคลองกับความมุ่งหมายทางการศึกษา จากนั้นก็ทำการวิเคราะห์ความจำเป็น (Needs Analysis) และวิเคราะห์ผู้เรียน
2. การวิเคราะห์การสอน (Conduct Instructional Analysis) เป็นการวิเคราะห์ภารกิจ ผลการวิเคราะห์การสอนที่ได้จะเป็นการจัด หมวดหมูของภารกิจ (Task Classification) ตามลักษณะของจุดมมุ่งมายการสอน
3. ศึกษาพฤติกรรมเบื้องต้นและคุณลักษณะของผู้เรียน (Identify Entry Behaviors) ว่าเป็นผู้เรียนระดับใด มีพื้นความรู้เพียงใด
4. เขียนจุดมุ่งหมายการเรียน (Write Performance Objectives) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม และสอดคลองกับจุดมุ่งหมายการสอน
5. สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Develop Criterion Referenced Test Items) เพื่อประเมินการเรียนการสอน
6. พัฒนายุทธศาสตร์การสอน (Develop Instructional Strategy) เป็นแผนกาที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรูได้อย่างมีประสิทธิภาพตาม
7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop and Select Instructional Materials) เป็นการพัฒนาและเลือกสื่อการเรียนการสอนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโสตทัศน์
 8. ออกแบบและจัดการประเมินระหว่างเรียน (Design and Conduct Formative Evaluation)
9. ออกแบบและจัดการประเมินหลังเรียน (Design and Conduct Summative Evaluation)
10. แกไขปรับปรุงการสอน (Revise Instruction) เป็นขั้นตอนการแกไขและปรับปรุงการสอนตั้งแต่ขั้นที่ 2 ถึงขั้นที่ 8


Gerlach & Ely Model
นับเป็นระบบการสอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย  แบ่งออกได้  10  ขั้นตอน  ดังนี้
1.  การกำหนดวัตถุประสงค์  คือการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนขึ้นมาก่อน
2.  การกำหนดเนื้อหา  เป็นการเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อกำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
3.  การประเมินพฤติกรรมเบื้องต้น  เป็นการประเมินก่อนเรียน  เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมและภูมิหลังของผู้เรียนก่อนที่จะเรียนเนื้อหานั้น
4.   การกำหนดกลยุทธ์ของวิธีการสอน  เป็นวิธีการของผู้สอนในการใช้ความรู้เลือกทรัพยากรและกำหนดบทบาทของผู้เรียนในการเรียน  เพื่อช่วยให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนนั้น  กล่าวคือ
4.1       การสอนแบบเตรียมเนื้อหาความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยสมบูรณ์ทั้งหมด
4.2       การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้หรือแบบไต่สวน
5.    การจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียน  เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมกับวิธีการสอน
6.    การกำหนดเวลาเรียน  ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะเรียน  วัตถุประสงค์  สถานที่และความสนใจของผู้เรียน
7.    การจัดสถานที่เรียน  จะขึ้นอยู่กับขนาดของผู้เรียน  เช่น
7.1       ห้องเรียนขนาดใหญ่สอนได้ 50-300  คน
7.2       ห้องเรียนขนาดเล็ก  เพื่อใช้ในการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อย
7.3       ห้องเรียนแบบเสรีหรืออิสระ  เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนตามลำพัง
8.    การเลือกสรรทรัพยากร  เป็นการที่ผู้สอนเลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์
9.    การประเมินสมรรถนะ  เป็นการประเมินความสามารถและพฤติกรรมของผู้เรียน
10.  การวิเคราะห์ข้อมูลป้อนกลับ  เพื่อทำให้ทราบว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด


The  Kemp  Model
เจอโรลด์ เคมป์ (Jerrold Kemp)  ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นในปี คศ. 1990 สามารถนำไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนได้เป็นอย่างดี   ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 4 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอก ดังนี้
     1. ระดับในสุด เป็นองค์ประกอบทั่ว ๆ ไปของบทเรียนและผู้เรียน
     2. ระดับถัดออกมา ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
     3. ระดับที่สาม เป็น การปรับปรุง แก้ไขบทเรียน
     4. ระดับนอกสุด เป็นการประเมินผล ได้แก่ การประเมินผลระหว่างดำเนินการ และการประเมินผลสรุปรายละเอียดแต่ละขั้นตอนย่อย ๆ มีดังนี้
1. ความต้องการของผู้เรียน เป้าหมาย การเรียงลำดับ และข้อจำกัด   เป็นส่วนที่พิจารณาเกี่ยวกับความต้องการ เป้าหมาย และข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของผู้เรียนและการใช้บทเรียน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน   เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้ระบบการสอน ประกอบด้วยการพิจารณาคุณสมบัติจำนวน 3 ด้าน ดังนี้
     2.1 คุณสมบัติทั่วๆ ไป   เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา
     2.2 ความสามารถเฉพาะทาง
     2.3 รูปแบบการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อ และกิจกรรม เป็นต้น
3. เป้าหมายของงานที่ได้รับ    เป็นการพิจารณาเป้าหมายของงานที่ผู้เรียนจะได้รับหลังจบบทเรียนแล้ว เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้งานต่อไป
4. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจรายวิชา    เป็นการวิเคราะห์งานหรือ ภารกิจที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้ การวิเคราะห์งานในขั้นตอนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนต่างๆ ดังนี้
     4.1 เนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการ
     4.2 ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
     4.3 แนวทางการออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน
5. วัตถุประสงค์การเรียนรู้    เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน โดยพิจารณาจากผลของการวิเคราะห์งานที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบบทเรียนและการประเมินผลบทเรียน วัตถุประสงค์ในขั้นตอนนี้ จะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย
6. กิจกรรมการสอน   เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนสอนในกระบวนการเรียนการสอน โดยพิจารณาผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียน
7. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน   เป็นการพิจารณาเป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่างๆ
8. สิ่งสนับสนุนบริการ    เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ
9. การประเมินผลการเรียนรู้   เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลและดำเนินการวัดผล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องต่าง ๆ ของบทเรียน
10. การทดสอบก่อนบทเรียน   เป็นการทดสอบผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เดิม 



          รูปแบบการสอนของเจอโรลด์ เคมป์ ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการพัฒนาระบบการสอนหรือบทเรียนต่าง ๆ ต่อ มาได้มีการปรับเปลี่ยนรูป แบบการสอนใหม่ เพื่อนำไปใช้ออกแบบบทเรียนที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอกดังนี้
1. ระดับในสุด ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
2. ระดับที่สอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขบทเรียน  และขั้นตอนการประเมินผลระหว่างดำเนินการ
3. ระดับนอกสุด ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนบริการ   การบริหารโครงการ   และการประเมินผลสรุป

   
สำหรับขั้นตอนย่อยๆ มีดังนี้

1. ปัญหาการเรียนการสอน   เป็นการกำหนดปัญหาการเรียนการสอน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน   เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้บทเรียน
 3. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ   เป็นการวิเคราะห์งานที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้ 4. วัตถุประสงค์การเรียนการสอน   เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
5. การเรียงลำดับเนื้อหา   เป็นการกำหนดความสำคัญของเนื้อหาโดยเรียงลำดับตามหลักประสบการณ์การเรียนรู้
6. กลยุทธ์การเรียนการสอน   เป็นการกำหนดกลยุทธ์การเรียนการสอน
7. การนำส่งการเรียนการสอน   เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการนำส่งบทเรียนไปยังผู้เรียน
8. เครื่องมือวัดผลการเรียนการสอน   เป็นการออกแบบเครื่องมือวัดผล
9. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน    เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่าง ๆ 












วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สรุปเนื้อหาของวันที่ 22 สิงหาคม 2558


รายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา



เรียน  อาจารย์ ภัทรดร  จั้นวันดี


ดิฉัน นางสาว ลลิตา  เลิศฤทธิ์เรืองสิน


รหัส  58723713209  หมู่เรียนที่ 2




สรุปเนื้อหารายวิชา  นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
ประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2558


กรอบการบรรยาย
1.แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษา
2.แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้
3.เทคนิคการสอน
4.สื่อการสอน
5.การวัดผลการเรียนรู้ในชั้นเรียน


 องค์ประกอบของการจัดการศึกษา

    O : Objective  คือ  ต้องมีกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
                                         L : Learning Experience  คือ  ต้องมีประสบการณ์การจัดการเรียนการสอน
                                         E : Evaluation  คือ  ต้องมีกระบวนการในการวัดผลประเมินผล
                                3  สิ่งนี้ถ้าเกื้อหนุนกัน  มันก็จะประสบผลสำเร็จได้

คุณภาพของผู้เรียน

ความรู้
     -  มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด  8  กลุ่มสาระการเรียนรู้
สมรรถนะ
     -  สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน  5  สมรรถนะ
    1. ความสามารถในการสื่อสาร 
    2. ความสามารถในการคิด 
    3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 
    4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 
    5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลักษณะ
     -  คุณลักษณะอันพึงประสงค์  8  ตัว
                          1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 
            2. ซื่อสัตย์สุจริต
            3. มีวินัย
            4. ใฝ่เรียนรู้
            5. อยู่อย่างพอเพียง
            6. มุ่งมั่นในการทำงาน 
            7. รักความเป็นไทย 
            8. มีจิตสาธารณะ
 
พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลง
พุทธพิสัย  เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด หรือพฤติกรรมทางด้านสมองของบุคคล ในอันที่ทำให้มีความเฉลียวฉลาด มีความสามารถในการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญา
จิตพิสัย  เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจ ซึ่งจะเกี่ยวกับค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ และคุณธรรม
ทักษะพิสัย  พฤติกรรมการเรียนรู้ที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
การวิเคราะห์หลักสูตร
     - ศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
     -  ศึกษาสาระในกลุ่มสาระการเรียนรู้
     -  ศึกษามาตรฐาน  /  ตัวชี้วัด
     -  ศึกษาคำอธิบายรายวิชา  จะต้องแยกหน่วยย่อยรายวิชาออกมา
การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้
     -  การเรียนแบบเดิม
    -  การเรียนแบบใหม่  เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่

การออกแบบการเรียนรู้
-   ผู้สอนต้องเข้าใจหลักสูตรสถานศึกษา  เข้าถึงมาตรฐานการเรียนรู้  ตัวชี้วัด  สมรรถนะ  คุณลักษณะที่พึงประสงค์และสาระที่เหมาะสม
-    เลือกใช้วิธีสอนและเทคนิค  สื่อ/แหล่งเรียนรู้  การวัดผลประเมินผล

Mind  Map  การวัดและประเมินผลการเรียนรู้