รายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
เรียน อาจารย์ ภัทรดร จั้นวันดี
ดิฉัน นางสาว ลลิตา เลิศฤทธิ์เรืองสิน
รหัส 58723713209 หมู่เรียนที่ 2
สรุปเนื้อหารายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
ประจำวันที่ 29 สิงหาคม 2558
The ASSURE Model
ในการวางแผนการใช้สื่อการสอน
ผู้สอนควรจะมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้การใช้สื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้
การวางแผนอย่างเป็นระบบนี้ เราสามารถใช้รูปแบบจำลองที่เรียกว่า "
The ASSURE Model " ของไฮนิคและคณะ (Heinich
and others 1999) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน ( Analyze Leaner
Characteristics )
การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน
ทำให้ผู้สอนได้ทราบลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะของผู้เรียนเพื่อที่ผู้สอนจะได้เลือกใช้สื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน
· ลักษณะทั่วไป ได้แก่ อายุ ระดับความรู้ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ของผู้เรียนแต่ละคน
ซึ่งลักษณะทั่วไปจะช่วยให้ผู้สอนสามารถเลือกระดับของบทเรียนและตัวอย่างของเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้
· ลักษณะเฉพาะ ของผู้เรียนแต่ละคน
มีส่วนสำคัญโดยตรงกับเนื้อหาบทเรียนตลอดจนสื่อการสอนและวิธีการที่จะนำมาใช้ในการสอน
การกำหนดวัตถุประสงค์ ( State Objectives )
ในการกำหนดวัตถุประสงค์ควรเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อให้สามารถเลือกใช้วิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสม การกำหนดวัตถุประสงค์เป็น "วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม" แบ่งออกเป็น
1. พุทธิพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เพื่อวัดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้
ความเข้าใจ สติปัญญา และการพัฒนา
2. จิตพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางด้านความคิด
ทัศนคติ ความรู้สึก ค่านิยมและการเสริมสร้างทางปัญญา
3. ทักษะพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการกระทำ
การแสดงออกหรือการปฏิบัติ
การเลือก
ดัดแปลง หรือออกแบบสื่อ ( Select, Modify, of Design Materials )
การที่จะมีสื่อที่เหมาะสมในการเรียนการสอน
สามารถทำได้ 3 วิธี คือ
1. เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
1) ลักษณะผู้เรียน
2) วัตถุประสงค์การเรียนการสอน
3) เทคนิคหรือวิธีการเรียนการสอน
4) สภาพการณ์และข้อจำกัดในการใช้สื่อแต่ละชนิด
2. ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
3. การออกแบบสื่อใหม่
หลังจากที่เราออกแบบสื่อแล้วแล้วนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน
ก็ควรมีการวัดผลของสื่อ เป็นการวัดประสิทธิภาพของสื่อ การวัดผลสื่อนี้เพื่อผลในการใช้ดัดแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต
เราสามารถที่จะนำเอาผลการอภิปรายในชั้นเรียน การสัมภาษณ์
และการสังเกตผู้เรียนมาใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสื่อได้
การใช้สื่อ ( Utilize
Materials )
1. ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อเหล่านั้นก่อนเป็นการเตรียมตัว : ต้องมีการตรวจสอบเนื้อหาว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และทดลองใช้ดูว่ามีปัญหาหรือไม่ ถ้ามีจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทัน
2. เตรียมสภาพแวดล้อม / จัดเตรียมสถานที่ เพื่อความสะดวกเรียบร้อยก่อนการสอน
และทดลองอุปกรณ์ที่จะใช้ก่อนว่าใช้ได้ดีหรือไม่
3. เตรียมตัวผู้เรียน โดยการใช้สื่อนำเข้าสู่บทเรียน
เป็นการแนะนำก่อนล่วงหน้าและเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้เรียน
4. การนำเสนอ / ควบคุมชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจในสื่อที่นำเสนอนั้น
การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน ( Require Learner
Response )
การตอบสนองของผู้เรียนจะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับลักษณะของสื่อที่นำมาใช้
ว่าเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากอย่างไร นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถมีการตอบสนองโดยเปิดเผย
( overt respone ) โดยการพูดหรือเขียน และการตอบสนองภายในตัวผู้เรียน
( covert response ) โดยการท่องจำหรือคิดในใจ
และเมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองผู้สอนควรให้การเสริมแรงทันที
เพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือไม่
การเรียนการสอนโดยการให้ทำแบบฝึกหัด การตอบคำถาม การอภิปราย
หรือการใช้บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการตอบสนองและได้รับการเสริมแรงระหว่างการเรียนได้เป็นอย่างดี
การประเมิน ( Evaluation )
การประเมินสามารถกระทำได้ใน 3 ลักษณะ
คือ
1. การประเมินกระบวนการสอน เพื่อประเมินว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่
2. การประเมินความสำเร็จของผู้เรียน ขึ้นกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่ามีเกณฑ์เท่าใด
การวัดผลอาจทำได้ด้วยการทดสอบ การสอบปากเปล่า หรือดูจากผลงานของผู้เรียน
3. การประเมินสื่อและวิธีการสอน โดยการให้ผู้เรียนมีการอภิปรายและวิจารณ์การใช้สื่อและเทคนิควิธีการสอนว่าเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
Dick;
& Carey Model
ไดเสนอรูปแบบระบบการออกแบบการ สอน
สรุปรวมได 3 องค์ประกอบ คือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอน
2. การพัฒนาการสอน
3. การประเมินการเรียนการสอน
จาก 3 องค์ประกอบ
สามารถจัดแบ่งกิจกรรมการออกแบบระบบการสอน ออกเป็น 10 ขั้นตอน
คือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายการสอน (Identify Instructional Goals) ซึ่งต้องพัฒนาให้สอดคลองกับความมุ่งหมายทางการศึกษา จากนั้นก็ทำการวิเคราะห์ความจำเป็น
(Needs Analysis) และวิเคราะห์ผู้เรียน
2. การวิเคราะห์การสอน (Conduct
Instructional Analysis) เป็นการวิเคราะห์ภารกิจ ผลการวิเคราะห์การสอนที่ได้จะเป็นการจัด
หมวดหมูของภารกิจ (Task Classification) ตามลักษณะของจุดมมุ่งมายการสอน
3. ศึกษาพฤติกรรมเบื้องต้นและคุณลักษณะของผู้เรียน
(Identify Entry Behaviors) ว่าเป็นผู้เรียนระดับใด
มีพื้นความรู้เพียงใด
4. เขียนจุดมุ่งหมายการเรียน (Write
Performance Objectives) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม
และสอดคลองกับจุดมุ่งหมายการสอน
5. สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Develop
Criterion Referenced Test Items) เพื่อประเมินการเรียนการสอน
6. พัฒนายุทธศาสตร์การสอน (Develop
Instructional Strategy) เป็นแผนกาที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรูได้อย่างมีประสิทธิภาพตาม
7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop
and Select Instructional Materials) เป็นการพัฒนาและเลือกสื่อการเรียนการสอนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโสตทัศน์
8. ออกแบบและจัดการประเมินระหว่างเรียน (Design and Conduct Formative
Evaluation)
9. ออกแบบและจัดการประเมินหลังเรียน (Design
and Conduct Summative Evaluation)
10. แกไขปรับปรุงการสอน (Revise
Instruction) เป็นขั้นตอนการแกไขและปรับปรุงการสอนตั้งแต่ขั้นที่
2 ถึงขั้นที่ 8
Gerlach & Ely Model
นับเป็นระบบการสอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
แบ่งออกได้ 10 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ คือการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนขึ้นมาก่อน
2. การกำหนดเนื้อหา เป็นการเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อกำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
3. การประเมินพฤติกรรมเบื้องต้น เป็นการประเมินก่อนเรียน
เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมและภูมิหลังของผู้เรียนก่อนที่จะเรียนเนื้อหานั้น
4. การกำหนดกลยุทธ์ของวิธีการสอน
เป็นวิธีการของผู้สอนในการใช้ความรู้เลือกทรัพยากรและกำหนดบทบาทของผู้เรียนในการเรียน เพื่อช่วยให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนนั้น กล่าวคือ
4.1
การสอนแบบเตรียมเนื้อหาความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยสมบูรณ์ทั้งหมด
4.2
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้หรือแบบไต่สวน
5. การจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียน
เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมกับวิธีการสอน
6. การกำหนดเวลาเรียน ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะเรียน วัตถุประสงค์
สถานที่และความสนใจของผู้เรียน
7. การจัดสถานที่เรียน จะขึ้นอยู่กับขนาดของผู้เรียน เช่น
7.1
ห้องเรียนขนาดใหญ่สอนได้
50-300 คน
7.2
ห้องเรียนขนาดเล็ก เพื่อใช้ในการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อย
7.3
ห้องเรียนแบบเสรีหรืออิสระ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนตามลำพัง
8. การเลือกสรรทรัพยากร
เป็นการที่ผู้สอนเลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์
9. การประเมินสมรรถนะ
เป็นการประเมินความสามารถและพฤติกรรมของผู้เรียน
10. การวิเคราะห์ข้อมูลป้อนกลับ
เพื่อทำให้ทราบว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด
The
Kemp Model
เจอโรลด์ เคมป์ (Jerrold Kemp) ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นในปี คศ. 1990 สามารถนำไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 4 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย
โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอก ดังนี้
1. ระดับในสุด เป็นองค์ประกอบทั่ว ๆ
ไปของบทเรียนและผู้เรียน
2. ระดับถัดออกมา ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
3. ระดับที่สาม เป็น การปรับปรุง
แก้ไขบทเรียน
4. ระดับนอกสุด เป็นการประเมินผล ได้แก่
การประเมินผลระหว่างดำเนินการ และการประเมินผลสรุปรายละเอียดแต่ละขั้นตอนย่อย ๆ
มีดังนี้
1. ความต้องการของผู้เรียน เป้าหมาย การเรียงลำดับ และข้อจำกัด เป็นส่วนที่พิจารณาเกี่ยวกับความต้องการ
เป้าหมาย และข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของผู้เรียนและการใช้บทเรียน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้ระบบการสอน
ประกอบด้วยการพิจารณาคุณสมบัติจำนวน 3 ด้าน ดังนี้
2.1 คุณสมบัติทั่วๆ ไป เช่น เพศ อายุ
ระดับการศึกษา
2.2 ความสามารถเฉพาะทาง
2.3 รูปแบบการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อ
และกิจกรรม เป็นต้น
3. เป้าหมายของงานที่ได้รับ เป็นการพิจารณาเป้าหมายของงานที่ผู้เรียนจะได้รับหลังจบบทเรียนแล้ว
เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้งานต่อไป
4. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจรายวิชา เป็นการวิเคราะห์งานหรือ
ภารกิจที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้ การวิเคราะห์งานในขั้นตอนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนต่างๆ
ดังนี้
4.1 เนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการ
4.2 ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
4.3 แนวทางการออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน
5. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
โดยพิจารณาจากผลของการวิเคราะห์งานที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบบทเรียนและการประเมินผลบทเรียน
วัตถุประสงค์ในขั้นตอนนี้ จะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน
ได้แก่พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย
6. กิจกรรมการสอน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนสอนในกระบวนการเรียนการสอน
โดยพิจารณาผู้เรียนเป็นสำคัญ
เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียน
7. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน เป็นการพิจารณาเป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่างๆ
8. สิ่งสนับสนุนบริการ
เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้
เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ
9. การประเมินผลการเรียนรู้ เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลและดำเนินการวัดผล
เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องต่าง ๆ ของบทเรียน
10. การทดสอบก่อนบทเรียน
เป็นการทดสอบผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เดิม
รูปแบบการสอนของเจอโรลด์
เคมป์ ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการพัฒนาระบบการสอนหรือบทเรียนต่าง ๆ ต่อ
มาได้มีการปรับเปลี่ยนรูป แบบการสอนใหม่
เพื่อนำไปใช้ออกแบบบทเรียนที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอกดังนี้
1. ระดับในสุด ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
2. ระดับที่สอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขบทเรียน และขั้นตอนการประเมินผลระหว่างดำเนินการ
3. ระดับนอกสุด ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนบริการ การบริหารโครงการ และการประเมินผลสรุป
สำหรับขั้นตอนย่อยๆ
มีดังนี้
1. ปัญหาการเรียนการสอน เป็นการกำหนดปัญหาการเรียนการสอน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน
เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้บทเรียน
3. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ เป็นการวิเคราะห์งานที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้
4. วัตถุประสงค์การเรียนการสอน เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
5. การเรียงลำดับเนื้อหา
เป็นการกำหนดความสำคัญของเนื้อหาโดยเรียงลำดับตามหลักประสบการณ์การเรียนรู้
6. กลยุทธ์การเรียนการสอน
เป็นการกำหนดกลยุทธ์การเรียนการสอน
7. การนำส่งการเรียนการสอน เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการนำส่งบทเรียนไปยังผู้เรียน
8. เครื่องมือวัดผลการเรียนการสอน เป็นการออกแบบเครื่องมือวัดผล
9. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่าง
ๆ
The ASSURE Model
ในการวางแผนการใช้สื่อการสอน
ผู้สอนควรจะมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้การใช้สื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้
การวางแผนอย่างเป็นระบบนี้ เราสามารถใช้รูปแบบจำลองที่เรียกว่า "
The ASSURE Model " ของไฮนิคและคณะ (Heinich
and others 1999) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน ( Analyze Leaner
Characteristics )
การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน
ทำให้ผู้สอนได้ทราบลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะของผู้เรียนเพื่อที่ผู้สอนจะได้เลือกใช้สื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน
· ลักษณะทั่วไป ได้แก่ อายุ ระดับความรู้ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ของผู้เรียนแต่ละคน
ซึ่งลักษณะทั่วไปจะช่วยให้ผู้สอนสามารถเลือกระดับของบทเรียนและตัวอย่างของเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้
· ลักษณะเฉพาะ ของผู้เรียนแต่ละคน
มีส่วนสำคัญโดยตรงกับเนื้อหาบทเรียนตลอดจนสื่อการสอนและวิธีการที่จะนำมาใช้ในการสอน
การกำหนดวัตถุประสงค์ ( State Objectives )
ในการกำหนดวัตถุประสงค์ควรเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อให้สามารถเลือกใช้วิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสม การกำหนดวัตถุประสงค์เป็น "วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม" แบ่งออกเป็น
2. จิตพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางด้านความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก ค่านิยมและการเสริมสร้างทางปัญญา
3. ทักษะพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการกระทำ การแสดงออกหรือการปฏิบัติ
การเลือก
ดัดแปลง หรือออกแบบสื่อ ( Select, Modify, of Design Materials )
การที่จะมีสื่อที่เหมาะสมในการเรียนการสอน
สามารถทำได้ 3 วิธี คือ
1. เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
1. เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
1) ลักษณะผู้เรียน
2) วัตถุประสงค์การเรียนการสอน
3) เทคนิคหรือวิธีการเรียนการสอน
4) สภาพการณ์และข้อจำกัดในการใช้สื่อแต่ละชนิด
2. ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
2. ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
3. การออกแบบสื่อใหม่
หลังจากที่เราออกแบบสื่อแล้วแล้วนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน
ก็ควรมีการวัดผลของสื่อ เป็นการวัดประสิทธิภาพของสื่อ การวัดผลสื่อนี้เพื่อผลในการใช้ดัดแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต
เราสามารถที่จะนำเอาผลการอภิปรายในชั้นเรียน การสัมภาษณ์
และการสังเกตผู้เรียนมาใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสื่อได้
การใช้สื่อ ( Utilize
Materials )
1. ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อเหล่านั้นก่อนเป็นการเตรียมตัว : ต้องมีการตรวจสอบเนื้อหาว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และทดลองใช้ดูว่ามีปัญหาหรือไม่ ถ้ามีจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทัน
2. เตรียมสภาพแวดล้อม / จัดเตรียมสถานที่ เพื่อความสะดวกเรียบร้อยก่อนการสอน และทดลองอุปกรณ์ที่จะใช้ก่อนว่าใช้ได้ดีหรือไม่
3. เตรียมตัวผู้เรียน โดยการใช้สื่อนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการแนะนำก่อนล่วงหน้าและเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้เรียน
4. การนำเสนอ / ควบคุมชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจในสื่อที่นำเสนอนั้น
2. เตรียมสภาพแวดล้อม / จัดเตรียมสถานที่ เพื่อความสะดวกเรียบร้อยก่อนการสอน และทดลองอุปกรณ์ที่จะใช้ก่อนว่าใช้ได้ดีหรือไม่
3. เตรียมตัวผู้เรียน โดยการใช้สื่อนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการแนะนำก่อนล่วงหน้าและเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้เรียน
4. การนำเสนอ / ควบคุมชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจในสื่อที่นำเสนอนั้น
การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน ( Require Learner
Response )
การตอบสนองของผู้เรียนจะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับลักษณะของสื่อที่นำมาใช้
ว่าเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากอย่างไร นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถมีการตอบสนองโดยเปิดเผย
( overt respone ) โดยการพูดหรือเขียน และการตอบสนองภายในตัวผู้เรียน
( covert response ) โดยการท่องจำหรือคิดในใจ
และเมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองผู้สอนควรให้การเสริมแรงทันที
เพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือไม่
การเรียนการสอนโดยการให้ทำแบบฝึกหัด การตอบคำถาม การอภิปราย
หรือการใช้บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการตอบสนองและได้รับการเสริมแรงระหว่างการเรียนได้เป็นอย่างดี
การประเมิน ( Evaluation )
การประเมินสามารถกระทำได้ใน 3 ลักษณะ
คือ
1. การประเมินกระบวนการสอน เพื่อประเมินว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่
2. การประเมินความสำเร็จของผู้เรียน ขึ้นกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่ามีเกณฑ์เท่าใด การวัดผลอาจทำได้ด้วยการทดสอบ การสอบปากเปล่า หรือดูจากผลงานของผู้เรียน
2. การประเมินความสำเร็จของผู้เรียน ขึ้นกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่ามีเกณฑ์เท่าใด การวัดผลอาจทำได้ด้วยการทดสอบ การสอบปากเปล่า หรือดูจากผลงานของผู้เรียน
3. การประเมินสื่อและวิธีการสอน โดยการให้ผู้เรียนมีการอภิปรายและวิจารณ์การใช้สื่อและเทคนิควิธีการสอนว่าเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
ไดเสนอรูปแบบระบบการออกแบบการ สอน
สรุปรวมได 3 องค์ประกอบ คือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอน
2. การพัฒนาการสอน
3. การประเมินการเรียนการสอน
จาก 3 องค์ประกอบ
สามารถจัดแบ่งกิจกรรมการออกแบบระบบการสอน ออกเป็น 10 ขั้นตอน
คือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายการสอน (Identify Instructional Goals) ซึ่งต้องพัฒนาให้สอดคลองกับความมุ่งหมายทางการศึกษา จากนั้นก็ทำการวิเคราะห์ความจำเป็น
(Needs Analysis) และวิเคราะห์ผู้เรียน
2. การวิเคราะห์การสอน (Conduct
Instructional Analysis) เป็นการวิเคราะห์ภารกิจ ผลการวิเคราะห์การสอนที่ได้จะเป็นการจัด
หมวดหมูของภารกิจ (Task Classification) ตามลักษณะของจุดมมุ่งมายการสอน
3. ศึกษาพฤติกรรมเบื้องต้นและคุณลักษณะของผู้เรียน
(Identify Entry Behaviors) ว่าเป็นผู้เรียนระดับใด
มีพื้นความรู้เพียงใด
4. เขียนจุดมุ่งหมายการเรียน (Write
Performance Objectives) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม
และสอดคลองกับจุดมุ่งหมายการสอน
5. สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Develop
Criterion Referenced Test Items) เพื่อประเมินการเรียนการสอน
6. พัฒนายุทธศาสตร์การสอน (Develop
Instructional Strategy) เป็นแผนกาที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรูได้อย่างมีประสิทธิภาพตาม
7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop
and Select Instructional Materials) เป็นการพัฒนาและเลือกสื่อการเรียนการสอนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโสตทัศน์
8. ออกแบบและจัดการประเมินระหว่างเรียน (Design and Conduct Formative
Evaluation)
9. ออกแบบและจัดการประเมินหลังเรียน (Design
and Conduct Summative Evaluation)
10. แกไขปรับปรุงการสอน (Revise
Instruction) เป็นขั้นตอนการแกไขและปรับปรุงการสอนตั้งแต่ขั้นที่
2 ถึงขั้นที่ 8
Gerlach & Ely Model
นับเป็นระบบการสอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
แบ่งออกได้ 10 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ คือการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนขึ้นมาก่อน
2. การกำหนดเนื้อหา เป็นการเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อกำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
3. การประเมินพฤติกรรมเบื้องต้น เป็นการประเมินก่อนเรียน
เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมและภูมิหลังของผู้เรียนก่อนที่จะเรียนเนื้อหานั้น
4. การกำหนดกลยุทธ์ของวิธีการสอน
เป็นวิธีการของผู้สอนในการใช้ความรู้เลือกทรัพยากรและกำหนดบทบาทของผู้เรียนในการเรียน เพื่อช่วยให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนนั้น กล่าวคือ
4.1
การสอนแบบเตรียมเนื้อหาความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยสมบูรณ์ทั้งหมด
4.2
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้หรือแบบไต่สวน
5. การจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียน
เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมกับวิธีการสอน
6. การกำหนดเวลาเรียน ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะเรียน วัตถุประสงค์
สถานที่และความสนใจของผู้เรียน
7. การจัดสถานที่เรียน จะขึ้นอยู่กับขนาดของผู้เรียน เช่น
7.1
ห้องเรียนขนาดใหญ่สอนได้
50-300 คน
7.2
ห้องเรียนขนาดเล็ก เพื่อใช้ในการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อย
7.3
ห้องเรียนแบบเสรีหรืออิสระ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนตามลำพัง
8. การเลือกสรรทรัพยากร
เป็นการที่ผู้สอนเลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์
9. การประเมินสมรรถนะ
เป็นการประเมินความสามารถและพฤติกรรมของผู้เรียน
10. การวิเคราะห์ข้อมูลป้อนกลับ
เพื่อทำให้ทราบว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด
The
Kemp Model
เจอโรลด์ เคมป์ (Jerrold Kemp) ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นในปี คศ. 1990 สามารถนำไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 4 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย
โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอก ดังนี้
1. ระดับในสุด เป็นองค์ประกอบทั่ว ๆ ไปของบทเรียนและผู้เรียน
2. ระดับถัดออกมา ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
3. ระดับที่สาม เป็น การปรับปรุง แก้ไขบทเรียน
4. ระดับนอกสุด เป็นการประเมินผล ได้แก่ การประเมินผลระหว่างดำเนินการ และการประเมินผลสรุปรายละเอียดแต่ละขั้นตอนย่อย ๆ มีดังนี้
1. ความต้องการของผู้เรียน เป้าหมาย การเรียงลำดับ และข้อจำกัด เป็นส่วนที่พิจารณาเกี่ยวกับความต้องการ เป้าหมาย และข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของผู้เรียนและการใช้บทเรียน
1. ระดับในสุด เป็นองค์ประกอบทั่ว ๆ ไปของบทเรียนและผู้เรียน
2. ระดับถัดออกมา ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
3. ระดับที่สาม เป็น การปรับปรุง แก้ไขบทเรียน
4. ระดับนอกสุด เป็นการประเมินผล ได้แก่ การประเมินผลระหว่างดำเนินการ และการประเมินผลสรุปรายละเอียดแต่ละขั้นตอนย่อย ๆ มีดังนี้
1. ความต้องการของผู้เรียน เป้าหมาย การเรียงลำดับ และข้อจำกัด เป็นส่วนที่พิจารณาเกี่ยวกับความต้องการ เป้าหมาย และข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของผู้เรียนและการใช้บทเรียน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้ระบบการสอน
ประกอบด้วยการพิจารณาคุณสมบัติจำนวน 3 ด้าน ดังนี้
2.1 คุณสมบัติทั่วๆ ไป เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา
2.2 ความสามารถเฉพาะทาง
2.3 รูปแบบการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อ และกิจกรรม เป็นต้น
2.1 คุณสมบัติทั่วๆ ไป เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา
2.2 ความสามารถเฉพาะทาง
2.3 รูปแบบการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อ และกิจกรรม เป็นต้น
3. เป้าหมายของงานที่ได้รับ เป็นการพิจารณาเป้าหมายของงานที่ผู้เรียนจะได้รับหลังจบบทเรียนแล้ว
เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้งานต่อไป
4. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจรายวิชา เป็นการวิเคราะห์งานหรือ
ภารกิจที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้ การวิเคราะห์งานในขั้นตอนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนต่างๆ
ดังนี้
4.1 เนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการ
4.2 ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
4.3 แนวทางการออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน
4.1 เนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการ
4.2 ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
4.3 แนวทางการออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน
5. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
โดยพิจารณาจากผลของการวิเคราะห์งานที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบบทเรียนและการประเมินผลบทเรียน
วัตถุประสงค์ในขั้นตอนนี้ จะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน
ได้แก่พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย
6. กิจกรรมการสอน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนสอนในกระบวนการเรียนการสอน
โดยพิจารณาผู้เรียนเป็นสำคัญ
เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียน
7. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน เป็นการพิจารณาเป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่างๆ
8. สิ่งสนับสนุนบริการ เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ
9. การประเมินผลการเรียนรู้ เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลและดำเนินการวัดผล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องต่าง ๆ ของบทเรียน
7. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน เป็นการพิจารณาเป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่างๆ
8. สิ่งสนับสนุนบริการ เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ
9. การประเมินผลการเรียนรู้ เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลและดำเนินการวัดผล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องต่าง ๆ ของบทเรียน
10. การทดสอบก่อนบทเรียน
เป็นการทดสอบผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เดิม
รูปแบบการสอนของเจอโรลด์
เคมป์ ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการพัฒนาระบบการสอนหรือบทเรียนต่าง ๆ ต่อ
มาได้มีการปรับเปลี่ยนรูป แบบการสอนใหม่
เพื่อนำไปใช้ออกแบบบทเรียนที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอกดังนี้
1. ระดับในสุด ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
2. ระดับที่สอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขบทเรียน และขั้นตอนการประเมินผลระหว่างดำเนินการ
3. ระดับนอกสุด ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนบริการ การบริหารโครงการ และการประเมินผลสรุป
1. ระดับในสุด ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
2. ระดับที่สอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขบทเรียน และขั้นตอนการประเมินผลระหว่างดำเนินการ
3. ระดับนอกสุด ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนบริการ การบริหารโครงการ และการประเมินผลสรุป
สำหรับขั้นตอนย่อยๆ
มีดังนี้
1. ปัญหาการเรียนการสอน เป็นการกำหนดปัญหาการเรียนการสอน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้บทเรียน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้บทเรียน
3. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ เป็นการวิเคราะห์งานที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้
4. วัตถุประสงค์การเรียนการสอน เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
5. การเรียงลำดับเนื้อหา เป็นการกำหนดความสำคัญของเนื้อหาโดยเรียงลำดับตามหลักประสบการณ์การเรียนรู้
6. กลยุทธ์การเรียนการสอน เป็นการกำหนดกลยุทธ์การเรียนการสอน
5. การเรียงลำดับเนื้อหา เป็นการกำหนดความสำคัญของเนื้อหาโดยเรียงลำดับตามหลักประสบการณ์การเรียนรู้
6. กลยุทธ์การเรียนการสอน เป็นการกำหนดกลยุทธ์การเรียนการสอน
7. การนำส่งการเรียนการสอน เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการนำส่งบทเรียนไปยังผู้เรียน
8. เครื่องมือวัดผลการเรียนการสอน เป็นการออกแบบเครื่องมือวัดผล
9. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่าง
ๆ